2015 : Fifty shades of grey
- หนังแนวอีโรติก พูดถึงชายที่มีรสนิยมทางเพศแบบ โซ่ แส้ กุญแจมือ
- หนังเน้นอารมณ์ ไม่ใช่เนื้อหาที่ซับซ้อน ฉะนั้นถ้าจะบอกว่าหนัง "ไม่มีอะไร" จงบอกด้วยว่าใช้อะไรเป็นบรรทัดฐานในการวิจารณ์ ... ผมมองว่าหนังเรื่องนี้เป็นแนวอีโติกดราม่า ไม่ใช่ แอคชั่น ไม่ใช่สืบสวน ไม่ใช่เขย่าขวัญ ไม่ใช่อื่น ๆ ที่ต้องมีเนื้อหาที่มากมาย ฉะนั้นเลยต้องวิจารณ์แบบที่ต้องทำความเข้าใจแนวทางของหนังก่อน [ซึ่งสร้างตามหนังสือขายดี สามภาค ... ไม่เคยอ่านหรอก] .
- นางเอกสวย นี่เป็นสาเหตุหลักที่เข้าไปดู
- พระเอกหล่อ แน่นอน ไม่ใช่เป้าหมายในการดูของผู้ชาย ... แต่ก็แน่นอนอีกที่ว่า นี่เป็นเป้าหมายของหญิงสาวทั้งหลาย ที่หวังได้เห็นซิกแพ็คของพระเอก ... ท่านพี่ก็ตั้งใจถอดโชว์เหลือเกิน.
- ในไทย ได้เรท 20+ แต่ทำไมไม่ตรวจบัตรประชาชนเรา (วะ) รึเราดูอายุเกินไปมาก ไม่เอาน่า ไม่น่าจะใช่ 5555
- ถ้าพูดในเเง่ของคนที่ ไม่ได้อ่านวิจารณ์เรื่องนี้มาจาก เว็บไซต์ไหน ๆ เลย
และไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับหนังสือเรื่องนี้ คน ๆๆนั้นดูจบคงคิดว่า หนัง " ไม่เห็นมีอะไรเลย" กลวง ๆ โล่ง ๆ ... ก็ใช่เพราะประเด็นหลักมีแค่ "พระเอกชอบมีอะไรแบบซาดิสถ์ และชักชวนนางเอกให้มาร่วมจอย แต่ต้องเซ็นต์สัญญา ... ประเด็นคือ เธอจะเซ็นต์ไหม ... จบ "
- ถ้ามองถึงอารมณ์ ความเป็นศิลปะ ภาพที่สวยงาม ก็ทำได้ดี ไม่ได้ถึงขนาดทุเรศหรืออะไรแบบนั้น หนังยังมีความเป็นศิลปะอยู่มาก ไม่ใช่หนังห่วยแน่นอน.
- แน่นอน หนังที่เดินเรื่องแบบเน้น ความสัมพันธ์ของคนสองคนเป็นหลัก ย่อมมีบ้างที่เนือย ๆ วูบ ๆ ไป เผลอหลับไปห้านาที เอ๊ะ หรือสิบ ไม่แน่ใจ แต่เดาว่าคงเป็นเพราะง่วงอยู่เเล้ว (รึเปล่า)
- ถ้าสาว ๆ คงฟิน ... หนุ่ม ๆ คงกลาง ๆ ก็ดีนะ
- อย่าไปถามคนที่อ่านหนังสือมาก่อน เพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นใครบอกว่า หนังเรื่องไหนสร้างออกมาดีกว่าหนังสือเลย
- ความโหดของเนื้อหา หนังไม่ได้แสดงมากมาย ใครอยากไปดูแบบนั้น "อย่า ได้ หวัง "
- 20+ น่าจะได้มาเพราะเกรงว่าเนื้อหาของหนังจะไปทระทบต่อมอยากรู้ของเยวชนไทย ... หน้าเราเกินไปปีนึงไม่ป็นไร
- สรุปว่า "หญิงดู หญิงฟิน" และ "ชายดู ชายหลับ"
- ก็ไม่เลวนะ สำหรับหนังอีโรติคที่ดูนุ่มละมุน ไม่แข็งกระด้าง ... และที่แน่ ๆ อารมณ์ล้วน ๆ .
Thinking of Movies
วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2558
2015 : Chappie
- Chappie เห็นตัวอย่างก็ตั้งตารอ
- เนื้อหาเกี่ยวกับ AI ปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนต์ที่เรียนรู้ได้ คิดเป็น
- เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้อง เปรียบเทียบกับหนังแนวเดียวกัน
- ถ้าเทียบกับ Automata แล้ว เรื่อง Chappie ดีกว่ามากมายหลายขุม
- ถ้าเทียบกับ AI แล้ว บอกยาก , AI จะออกดราม่าชัดเจนมาก ... ส่วน Chappie จะเป็น Action sci-fi ซะมากกว่า ถ้าเอาความบันเทิง Chappie มันส์กว่าแน่ ๆ ถ้าจะเอาเหตุผล ดราม่า AI ไปได้สวยกว่า.
- ถ้าเทียบกับ Real steel คงไม่สามารถเทียบได้ แต่มันเหมือนกันแค่เป็นหนังหุ่นยนต์ Real steel สนุกกว่า และดูสมเหตุผลมากกว่า ในเชิงอารมณ์ตัวละคร
- เปิดเรื่องมาน่าสนใจ ที่มีหุ่นยนต์เป็นตำรวจ
- ตัวเอก คือคนที่คิดค้นประดิษฐ์หุ่นยนต์ ซึ่งมีหลายครั้งที่มีการกระทำที่ขัดเหตุผลมากไป จนรู้สึกได้ว่า เฮ้ย เอ็งจะทำงี้จริง ๆ หรอ อะไรประมาณนี้
- การให้โจร ที่ไม่ได้มีสำนึกเป็นคนดี มาเป็นตัวที่คนดูจะต้องลุ้นช่วย มันทำให้คนดูอาจจะลุ้นช่วย น้อยลง นะ
- แอ็คชั่นต่อสู้ ใช้ได้เลย เพราะมันทำให้หนังดูสนุกขึ้น ภารกิจแต่ละอย่าง ดูน่าติดตามและลุ้นช่วยอยู่ เพราะดำเนินเรื่องได้ฉับไวพอได้เลย.
- ตัวร้าย ก็ร้ายแบบ อืมมมม เอาให้เกลียดกันไปเลย ปูเรื่องมาก็รู้เลยว่าตัวนี้ ต้องร้ายตอนท้ายเรื่อง ไม่ต้องเดาให้ลึกซึ้ง.
- หนังดูง่าย ๆ ไม่ต้องตีความมาก ดูแล้วเข้าใจทันที ไม่มีอะไรแอบแฝง ดูสนุกเอามันส์ ไม่คิดอะไรมาก จะคุ้ม ... แต่ถ้ามองเรื่องเหตุผลบางช่วงที่พระเอกทำ คุณต้องตัดคะเเนหนังเรื่องนี้ออกไปบ้าง ไม่มากก็น้อย.
- หนังฟอร์มใหญ่ แต่สเกลหนัง Scope เล็กลงมาทำให้มันดูง่ายขึ้น สนุกขึ้น ไม่ซับซ้อน แต่ความยิ่งใหญ่ ของสเกลที่เราคาดหวังไว้ มันอาจไม่ได้ถึงขั้นที่เราคิด.
- จำกัดความสั้น ๆ คือ "ดูสนุก เอามันส์ ไม่คิดมาก .. แต่ถ้าจะดูสมเหตุสมผลมาก ๆ ต้องเรื่องอื่น เหอ เหอ เหอ" ... ไม่เห็นจะสั้นเลยเน๊อะ !!!
2015 : Cat A Wabb
2015 : Cat A Wabb
วิจารณ์สั้น ๆ
- ช่วงต้น ๆ เรื่องก็ตลกอยู่บ้าง แต่ไม่สุด
- ช่วงกลาง ๆ ออกทะเล
- ช่วงท้าย ๆ เหมือนพยายามจะดราม่า แต่ไม่สุดอีก
- นางเอกสวย พระเอกหล่อ แต่บทหลวมไป
- เหตุผลของการกระทำแต่ละอย่างมัน ยังไม่สมเหตุผล
- บทสรุป หาฝั่งยังไม่เจอ
- ดูฆ่าเวลาได้ แต่ถ้าดูเอาสนุกคุ้มค่า ... ไม่น่าใช่ เพราะหนังที่เป้ อารักษ์ เล่นเรื่องอื่น ๆ ดีกว่านี้มากกกก
- ช่วงกลาง ๆ ออกทะเล
- ช่วงท้าย ๆ เหมือนพยายามจะดราม่า แต่ไม่สุดอีก
- นางเอกสวย พระเอกหล่อ แต่บทหลวมไป
- เหตุผลของการกระทำแต่ละอย่างมัน ยังไม่สมเหตุผล
- บทสรุป หาฝั่งยังไม่เจอ
- ดูฆ่าเวลาได้ แต่ถ้าดูเอาสนุกคุ้มค่า ... ไม่น่าใช่ เพราะหนังที่เป้ อารักษ์ เล่นเรื่องอื่น ๆ ดีกว่านี้มากกกก
2015 : Series The walking dead season 5 ep.12 สปอยด้วยรูป
- The walking dead season 5 ep.12 สปอยด้วยรูป
- ถามว่าสปอยด์ไหม .... สปอยด้วยรูป แต่ไม่ได้เน้นวิจารณ์แค่ตอน 12 พูดถึงรวม ๆ ด้วยครับ.
ตอนนี้เหมือนมีอะไรน่าสนใจมากกว่า ep.10 และ 11 (ซึ่งทั้งสองตอนที่แล้ว ไม่ได้มีอะไรให้ตกใจ)
- Ep.12 นี้เหมือนจะเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่ ๆ ที่กลุ่มของริคต้องเจอ พวกเขาจะอยู่กันยังไง จะทำตัวยังไงดี หลังจากนี้ไม่อยู่สบายก็ตายอนาจกันล่ะ อันนี้สังหรณ์ใจ เพราะกลุ่มริคไปอยู่ไหน สักพักที่นั่นเน่าทุกที่ 55555
- แกนหลักของเรื่อง The walking dead ผู้กำกับยังยืนยันตลอดว่ามันคือ การอยู่รอด การเอาตัวรอด หนังได้เเสดงให้เห็นถึงสันดานดิบของมนุษย์ ที่พอถึงเวลาเข้าตาจนแล้ว ต้องช่วยตัวเองก่อน ... เเละเสน่ห์อย่างนึงคือ การแสดงให้เห็นถึงปัญหาการบริหารจัดการ ทั้งระบบ ทั้งเรื่องกฏเกณฑ์ ทั้งวัฒนธรรมแต่ละกลุ่ม ทั้งเรื่องคน เรื่องความขัดเเย้งภายในกลุ่ม ทั้งขัดเเย้งระหว่างกลุ่ม รวมไปถึงความเป็นผู้นำ การใช้เหตุผล ความเสียสละของริคผู้นำกลุ่ม กระทั่งความเป็นผู้ตามและรู้หน้าที่บทบาทของตัวเอง เช่นแดริล ที่เป็นผู้ตามที่ดี ทำตามเมื่อหัวหน้ากลุ่มสั่ง และแสดงความคิดที่ขัดเเย้งหากเห็นว่าผู้นำกลุ่มเริ่มเขว และอีกคนที่คอยช่วยเหลือและเป็นกลางอย่างเกล็น ก็คอยสร้างสมดุลให้กับกลุ่ม โดยกล่อมริคเมื่อเห็นว่าริคยังปล่อยวางบางเรื่องไม่ได้ จะเห็นได้เลยว่ากลุ่มของริค คือตัวอย่างหนึ่งที่ดีของการช่วยกันทำงานอย่าง "รู้หน้าที่ และ เกื้อกูลกัน" ผมว่า นี่คงเป็นเหตุผลนึงที่ซีรีย์เรื่องนี้โด่งดังและติดอยู่ในใจของผู้ชมทั่วโลก เพราะมันไม่ใช่แค่หนังซอมบี้กระหายเลือด แต่มันคือสารคดีเชิงวิชาการในการเป็น case study ของ ระบบการบริหารจัดการ หากใครมองเห็นก็จะได้ประโยชน์จากมัน !
- และจบแบบให้น่าสนใจตลอดอ่ะ
- ถามว่าสปอยด์ไหม .... สปอยด้วยรูป แต่ไม่ได้เน้นวิจารณ์แค่ตอน 12 พูดถึงรวม ๆ ด้วยครับ.
ตอนนี้เหมือนมีอะไรน่าสนใจมากกว่า ep.10 และ 11 (ซึ่งทั้งสองตอนที่แล้ว ไม่ได้มีอะไรให้ตกใจ)
- Ep.12 นี้เหมือนจะเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่ ๆ ที่กลุ่มของริคต้องเจอ พวกเขาจะอยู่กันยังไง จะทำตัวยังไงดี หลังจากนี้ไม่อยู่สบายก็ตายอนาจกันล่ะ อันนี้สังหรณ์ใจ เพราะกลุ่มริคไปอยู่ไหน สักพักที่นั่นเน่าทุกที่ 55555
- แกนหลักของเรื่อง The walking dead ผู้กำกับยังยืนยันตลอดว่ามันคือ การอยู่รอด การเอาตัวรอด หนังได้เเสดงให้เห็นถึงสันดานดิบของมนุษย์ ที่พอถึงเวลาเข้าตาจนแล้ว ต้องช่วยตัวเองก่อน ... เเละเสน่ห์อย่างนึงคือ การแสดงให้เห็นถึงปัญหาการบริหารจัดการ ทั้งระบบ ทั้งเรื่องกฏเกณฑ์ ทั้งวัฒนธรรมแต่ละกลุ่ม ทั้งเรื่องคน เรื่องความขัดเเย้งภายในกลุ่ม ทั้งขัดเเย้งระหว่างกลุ่ม รวมไปถึงความเป็นผู้นำ การใช้เหตุผล ความเสียสละของริคผู้นำกลุ่ม กระทั่งความเป็นผู้ตามและรู้หน้าที่บทบาทของตัวเอง เช่นแดริล ที่เป็นผู้ตามที่ดี ทำตามเมื่อหัวหน้ากลุ่มสั่ง และแสดงความคิดที่ขัดเเย้งหากเห็นว่าผู้นำกลุ่มเริ่มเขว และอีกคนที่คอยช่วยเหลือและเป็นกลางอย่างเกล็น ก็คอยสร้างสมดุลให้กับกลุ่ม โดยกล่อมริคเมื่อเห็นว่าริคยังปล่อยวางบางเรื่องไม่ได้ จะเห็นได้เลยว่ากลุ่มของริค คือตัวอย่างหนึ่งที่ดีของการช่วยกันทำงานอย่าง "รู้หน้าที่ และ เกื้อกูลกัน" ผมว่า นี่คงเป็นเหตุผลนึงที่ซีรีย์เรื่องนี้โด่งดังและติดอยู่ในใจของผู้ชมทั่วโลก เพราะมันไม่ใช่แค่หนังซอมบี้กระหายเลือด แต่มันคือสารคดีเชิงวิชาการในการเป็น case study ของ ระบบการบริหารจัดการ หากใครมองเห็นก็จะได้ประโยชน์จากมัน !
- และจบแบบให้น่าสนใจตลอดอ่ะ
วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
2014 : WHIPLASH ตีให้ลั่น เพราะฝันยังไม่จบ
WHIPLASH ตีให้ลั่น เพราะฝันยังไม่จบ เป็นหนังดนตรี JAZZ ซึ่งเน้นหนักไปที่กลอง ซึ่งผมเองเคยเล่นกลองในวงสมัครเล่นแนวป๊อบ ๆ ร๊อค ๆ ทั่ว ๆ เล่นกันแบบงู ๆ ปลา ๆ กับเพื่อน ๆ สมัยเรียน บอกได้เลยว่า หลังจากดูหนังเรื่องนี้เเล้วรู้เลยว่า JAZZ ยากกว่าเยอะ ลูกเเพรวพราวมากมายหลากหลายอารมณ์ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่ากลอง เครื่องดนตรีให้จังหวะ จะสามารถให้อารมณ์ได้มากมายขนาดนี้ เกริ่นแบบนี้เริ่มอยากรู้กันล่ะสิ ว่า WHIPLASH จะมาในแนวไหน น่าสนใจแค่ไหน ตามมาดูเลยครับ.
เห็นจากตัวอย่างก็บอกกับตัวเองแล้วว่า "ต้องดู" เพราะมันเป็นอะไรที่แตกต่างจากหนังทั่วไป ผมไม่ค่อยเห็นหนังที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับดนตรีเรื่องไหนที่เน้นกลองให้เป็นตัวหลักของเรื่อง ส่วนใหญ่ก็จะเป็นมือกีตาร์กับร้องนำซะมากกว่า และมักจะเป็นแนวร็อค ส่วนหนังบางเรื่องก็เป็นแนว JAZZ หรือ Folk ก็มี แต่นั่นก็จะเป็นชีวประวัติของนักดนตรีดัง ๆ ซะมากกว่าที่จะเน้นไปที่รายละเอียดของกระบวนการฝึกฝน ซึ่ง WHIPLASH นั้นแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด เพราะหนังเน้นจับไปที่กระบวนการฝึกฝน ความทุ่มเท การให้ความสำคัญกับความพยายาม มุ่งมั่น เพื่อที่จะทำได้ดีที่สุด.
หนังเกี่ยวกับ เฟลทเชอร์ ครูที่ฝึกสอนวงดนตรี JAZZ เพื่อนำพาวงดนตรีไปสู่ชัยชนะ และเฟ้นหามือกลอง ซึ่งพระเอกก็คือหนึ่งในนั้น ที่ต้องถูกฝึกฝนในวง อย่างโหด อย่างเต็มเหนี่ยว ดุดัน กดดัน ไม่มีการออมชอม จัดเต็มแบบที่ทำให้ผมนึกถึงการฝึกพวกหน่วยซีล หน่วยโหด ๆ ทั้งหลาย ประมาณนั้นเลย จนผมคิดว่า อาจารย์ เเฟลทเชอร์ แกไปกินอะไรมาถึงได้เคี่ยวขนาดนี้นะ ทำท่าจะดีก็มีอันวิญญาณโหดเข้าสิงทุกที ส่วนตัวพระเอกก็พยายามสูงมาก เพราะอยากที่จะทำให้สำเร็จ.
หนังเดินเรื่องแบบตรง ๆ พุ่งเข้าประเด็นไม่มีน้ำจิ้มใด ๆ มาให้คนดูเสียรสชาดเดิม ๆ ดิบ ๆ ของหนัง ประเด็นของหนังก็คือความมุ่งมั่นกับการพาวงดนตรีเข้าสู่ชัยชนะของอาจารย์เฟลทเชอร์ ความตั้งใจที่จะเอาชนะตัวเองให้ได้ของพระเอกในฐานะมือกลองของวงดนตรีแจ๊ส ของโรงเรียนดนตรีที่ดีที่สุดในประเทศ ผมว่ามันเข้าใจง่ายดี และเดินเรื่องได้ดูง่ายดี ไม่มีความซับซ้อนของเนื้อหา.
อารมณ์ของหนังจะ ดิบ ๆ พลุ่งพล่าน เหมือนอะดรีนาลีนฉีดไปทั่วร่าง กดดัน ลุ้น หนังมีความเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่ได้อ้างอิงหรือพยายามจะเหมือนหนังเรื่องไหน ๆ ฉากพลิก ๆ หรือหักมุมหน่อย ๆ มีบ้าง และทำให้อึ้งนิด ๆ แต่สิ่งที่ผมขอชมแบบออกหน้าออกตาคือเรื่องของการตัดต่อครับ หนังตัดต่อได้ดีมากครับ คือฉากที่แสดงดนตรีหรือฝึกซ้อมทั้งหลาย ซึ่งก็คือฉากส่วนใหญ่ของหนังนั่นล่ะ มันฉับไว มีภาพซูมใกล้ ๆ และจังหวะที่ตัดภาพให้เห็นเครื่องดนตรีแต่ละส่วน แต่ละภาพ มันได้อารมณ์ของจังหวะดนตรีนั้น ๆ มาก ทำให้หนังยิ่งดูมีพลังมากขึ้นอีกเยอะเลย ผมว่าการตัดต่อที่โดดเด่นที่สุดนี้แหล่ะที่เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่นำพาหนังเรื่องนี้ให้กลายเป็นหนึ่งในหนังคุณภาพที่ผมและคิดว่าผู้ชมอีกหลายคนจะจดจำไปอีกนาน.
ด้านการแสดงของดารานำทั้งคู่คือ J.K. Simmons [แสดงเป็นอาจารย์จอมโหด Terrence Flectcher] และ Miles Teller [แสดงเป็นลูกศิษย์จอมสู้ Andrew Neiman] นั้นประชันกันได้แบบถึงพริกถึงขิง ไม่มีการลดลาวาศอก ไม่มีการยอมกัน แสดงเก่งทั้งคู่ โดดเด่นทั้งคู่จนยากจะแยก ว่าใครเป็นดารานำกันแน่ ใช่ครับด้วยตัวหนังและการเดินเรื่องแล้ว นีแมน เป็นตัวเอกเดินเรื่อง แต่ในด้านของความโดดเด่น ผมว่า อาจารย์จอมโหดเฟลทเชอร์นั้นก็โดดเด่นแบบนำหน้าไปนิดนึง.
ด้านของดนตรีประกอบนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยครับว่าจะดีแค่ไหน คือผมเองก็ไม่ได้สังเกตุดนตรีประกอบด้วยซ้ำ เพราะหนังมันจะมีเสียงดนตรีตลอดทั้งเรื่องอยู่เเล้ว และมันก็ฟังดูไหลลื่นดีมาก หลาย ๆ ฉากที่มีการปะทะอารมณ์ ไม่ต้องมีดนตรีประกอบเลย เพราะส่วนใหญ่เป็นฉากการซ้อมดนตรี ซึ่งมัน "สมบูรณ์แบบ" อยู่แล้วครับ.
ด้านการแสดงของดารานำทั้งคู่คือ J.K. Simmons [แสดงเป็นอาจารย์จอมโหด Terrence Flectcher] และ Miles Teller [แสดงเป็นลูกศิษย์จอมสู้ Andrew Neiman] นั้นประชันกันได้แบบถึงพริกถึงขิง ไม่มีการลดลาวาศอก ไม่มีการยอมกัน แสดงเก่งทั้งคู่ โดดเด่นทั้งคู่จนยากจะแยก ว่าใครเป็นดารานำกันแน่ ใช่ครับด้วยตัวหนังและการเดินเรื่องแล้ว นีแมน เป็นตัวเอกเดินเรื่อง แต่ในด้านของความโดดเด่น ผมว่า อาจารย์จอมโหดเฟลทเชอร์นั้นก็โดดเด่นแบบนำหน้าไปนิดนึง.
ด้านของดนตรีประกอบนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยครับว่าจะดีแค่ไหน คือผมเองก็ไม่ได้สังเกตุดนตรีประกอบด้วยซ้ำ เพราะหนังมันจะมีเสียงดนตรีตลอดทั้งเรื่องอยู่เเล้ว และมันก็ฟังดูไหลลื่นดีมาก หลาย ๆ ฉากที่มีการปะทะอารมณ์ ไม่ต้องมีดนตรีประกอบเลย เพราะส่วนใหญ่เป็นฉากการซ้อมดนตรี ซึ่งมัน "สมบูรณ์แบบ" อยู่แล้วครับ.
สำหรับคนที่เล่นดนตรี คุณ "ต้องดู" หนังเรื่องนี้ครับ เพราะมันจะสร้างแรงบันดาลใจและเป็นตัวอย่างของคำว่า "ทุ่มเท"
สำหรับคนที่ไม่เคยเล่นดนตรี แต่ชอบฟังดนตรี ผมว่าคุณควรลองดูเพราะคุณอาจเพิ่งรู้ตัวว่าคุณชอบดนตรีซะเเล้ว คุณอาจจะอยากหยิบเครื่องดนตรีซักชิ้นมาลองเล่นดู ... แต่คุณอาจรีบโยนมันทิ้งถ้าคุณดันไปนึกถึงหน้าของ ตาเฟลทเชอร์ จอมโหด.
สำหรับคนที่ไม่สนใจดนตรี เฉย ๆ กับดนตรี ผมจะบอกว่า ถึงจะไม่ได้ชอบดนตรี แต่หนังเรื่องนี้ก็จะยังดูสนุกแม้จะไม่เข้าใจเรื่องดนตรี และมันอาจทำให้คุณได้เห็นถึงตัวอย่างของคำว่า "ทุ่มเท" และ "พยายาม" ซึ่งคุณสามารถเอาไปปรับใช้ในชีวิตได้ ไม่ว่ากับเรื่องอะไรก็ตาม.
สิ่งที่ได้จากหนังเรื่องนี้คือความพยายาม ความมุ่งมั่น ทุมเท ให้กับสิ่งที่เราทำ และมีคำนึงที่ เฟลทเชอร์พูดกับพระเอกประมาณว่า "คำที่อันตรายที่สุดคือคำว่า GOOD JOB หรือ ทำได้ดีแล้ว" นั่นเพราะมันจะทำให้คนที่ได้ฟังหยุดความพยายามลง.
ดูจบอยากจะปรบมือให้เลย เรื่องนี้ผมให้เต็มครับ 10/10 ใครยังไม่ได้ดูก็รีบไปดูกันซะนะครับ
เพราะเดี๋ยวจะลาโรงซะก่อน ยิ่งมีรอบฉายน้อย ๆ อยู่ .
แล้วคุณล่ะ ได้พยายาม ทุ่มเท กับสิ่งที่ทำอยู่กันหรือยัง ?
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)