วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

2014 : WHIPLASH ตีให้ลั่น เพราะฝันยังไม่จบ

     WHIPLASH ตีให้ลั่น เพราะฝันยังไม่จบ เป็นหนังดนตรี JAZZ ซึ่งเน้นหนักไปที่กลอง ซึ่งผมเองเคยเล่นกลองในวงสมัครเล่นแนวป๊อบ ๆ ร๊อค ๆ ทั่ว ๆ เล่นกันแบบงู ๆ ปลา ๆ กับเพื่อน ๆ สมัยเรียน บอกได้เลยว่า หลังจากดูหนังเรื่องนี้เเล้วรู้เลยว่า JAZZ ยากกว่าเยอะ ลูกเเพรวพราวมากมายหลากหลายอารมณ์ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่ากลอง เครื่องดนตรีให้จังหวะ จะสามารถให้อารมณ์ได้มากมายขนาดนี้ เกริ่นแบบนี้เริ่มอยากรู้กันล่ะสิ ว่า WHIPLASH จะมาในแนวไหน น่าสนใจแค่ไหน ตามมาดูเลยครับ.



     เห็นจากตัวอย่างก็บอกกับตัวเองแล้วว่า "ต้องดู" เพราะมันเป็นอะไรที่แตกต่างจากหนังทั่วไป ผมไม่ค่อยเห็นหนังที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับดนตรีเรื่องไหนที่เน้นกลองให้เป็นตัวหลักของเรื่อง ส่วนใหญ่ก็จะเป็นมือกีตาร์กับร้องนำซะมากกว่า และมักจะเป็นแนวร็อค ส่วนหนังบางเรื่องก็เป็นแนว JAZZ หรือ Folk ก็มี แต่นั่นก็จะเป็นชีวประวัติของนักดนตรีดัง ๆ ซะมากกว่าที่จะเน้นไปที่รายละเอียดของกระบวนการฝึกฝน ซึ่ง WHIPLASH นั้นแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด เพราะหนังเน้นจับไปที่กระบวนการฝึกฝน ความทุ่มเท การให้ความสำคัญกับความพยายาม มุ่งมั่น เพื่อที่จะทำได้ดีที่สุด.



     หนังเกี่ยวกับ เฟลทเชอร์ ครูที่ฝึกสอนวงดนตรี JAZZ เพื่อนำพาวงดนตรีไปสู่ชัยชนะ และเฟ้นหามือกลอง ซึ่งพระเอกก็คือหนึ่งในนั้น ที่ต้องถูกฝึกฝนในวง อย่างโหด อย่างเต็มเหนี่ยว ดุดัน กดดัน ไม่มีการออมชอม จัดเต็มแบบที่ทำให้ผมนึกถึงการฝึกพวกหน่วยซีล หน่วยโหด ๆ ทั้งหลาย ประมาณนั้นเลย จนผมคิดว่า อาจารย์ เเฟลทเชอร์ แกไปกินอะไรมาถึงได้เคี่ยวขนาดนี้นะ ทำท่าจะดีก็มีอันวิญญาณโหดเข้าสิงทุกที ส่วนตัวพระเอกก็พยายามสูงมาก เพราะอยากที่จะทำให้สำเร็จ.



     หนังเดินเรื่องแบบตรง ๆ พุ่งเข้าประเด็นไม่มีน้ำจิ้มใด ๆ มาให้คนดูเสียรสชาดเดิม ๆ ดิบ ๆ ของหนัง ประเด็นของหนังก็คือความมุ่งมั่นกับการพาวงดนตรีเข้าสู่ชัยชนะของอาจารย์เฟลทเชอร์ ความตั้งใจที่จะเอาชนะตัวเองให้ได้ของพระเอกในฐานะมือกลองของวงดนตรีแจ๊ส ของโรงเรียนดนตรีที่ดีที่สุดในประเทศ ผมว่ามันเข้าใจง่ายดี และเดินเรื่องได้ดูง่ายดี ไม่มีความซับซ้อนของเนื้อหา.



     อารมณ์ของหนังจะ ดิบ ๆ พลุ่งพล่าน เหมือนอะดรีนาลีนฉีดไปทั่วร่าง กดดัน ลุ้น หนังมีความเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่ได้อ้างอิงหรือพยายามจะเหมือนหนังเรื่องไหน ๆ ฉากพลิก ๆ หรือหักมุมหน่อย ๆ มีบ้าง และทำให้อึ้งนิด ๆ แต่สิ่งที่ผมขอชมแบบออกหน้าออกตาคือเรื่องของการตัดต่อครับ หนังตัดต่อได้ดีมากครับ คือฉากที่แสดงดนตรีหรือฝึกซ้อมทั้งหลาย ซึ่งก็คือฉากส่วนใหญ่ของหนังนั่นล่ะ มันฉับไว มีภาพซูมใกล้ ๆ และจังหวะที่ตัดภาพให้เห็นเครื่องดนตรีแต่ละส่วน แต่ละภาพ มันได้อารมณ์ของจังหวะดนตรีนั้น ๆ มาก ทำให้หนังยิ่งดูมีพลังมากขึ้นอีกเยอะเลย ผมว่าการตัดต่อที่โดดเด่นที่สุดนี้แหล่ะที่เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่นำพาหนังเรื่องนี้ให้กลายเป็นหนึ่งในหนังคุณภาพที่ผมและคิดว่าผู้ชมอีกหลายคนจะจดจำไปอีกนาน.

     ด้านการแสดงของดารานำทั้งคู่คือ J.K. Simmons [แสดงเป็นอาจารย์จอมโหด Terrence Flectcher] และ Miles Teller [แสดงเป็นลูกศิษย์จอมสู้ Andrew Neiman] นั้นประชันกันได้แบบถึงพริกถึงขิง ไม่มีการลดลาวาศอก ไม่มีการยอมกัน แสดงเก่งทั้งคู่ โดดเด่นทั้งคู่จนยากจะแยก ว่าใครเป็นดารานำกันแน่ ใช่ครับด้วยตัวหนังและการเดินเรื่องแล้ว นีแมน เป็นตัวเอกเดินเรื่อง แต่ในด้านของความโดดเด่น ผมว่า อาจารย์จอมโหดเฟลทเชอร์นั้นก็โดดเด่นแบบนำหน้าไปนิดนึง.

     ด้านของดนตรีประกอบนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยครับว่าจะดีแค่ไหน คือผมเองก็ไม่ได้สังเกตุดนตรีประกอบด้วยซ้ำ เพราะหนังมันจะมีเสียงดนตรีตลอดทั้งเรื่องอยู่เเล้ว และมันก็ฟังดูไหลลื่นดีมาก หลาย ๆ ฉากที่มีการปะทะอารมณ์ ไม่ต้องมีดนตรีประกอบเลย เพราะส่วนใหญ่เป็นฉากการซ้อมดนตรี ซึ่งมัน "สมบูรณ์แบบ" อยู่แล้วครับ.




     สำหรับคนที่เล่นดนตรี คุณ "ต้องดู" หนังเรื่องนี้ครับ เพราะมันจะสร้างแรงบันดาลใจและเป็นตัวอย่างของคำว่า "ทุ่มเท"

     สำหรับคนที่ไม่เคยเล่นดนตรี แต่ชอบฟังดนตรี ผมว่าคุณควรลองดูเพราะคุณอาจเพิ่งรู้ตัวว่าคุณชอบดนตรีซะเเล้ว คุณอาจจะอยากหยิบเครื่องดนตรีซักชิ้นมาลองเล่นดู ... แต่คุณอาจรีบโยนมันทิ้งถ้าคุณดันไปนึกถึงหน้าของ ตาเฟลทเชอร์ จอมโหด.

     สำหรับคนที่ไม่สนใจดนตรี เฉย ๆ กับดนตรี ผมจะบอกว่า ถึงจะไม่ได้ชอบดนตรี แต่หนังเรื่องนี้ก็จะยังดูสนุกแม้จะไม่เข้าใจเรื่องดนตรี และมันอาจทำให้คุณได้เห็นถึงตัวอย่างของคำว่า "ทุ่มเท" และ "พยายาม" ซึ่งคุณสามารถเอาไปปรับใช้ในชีวิตได้ ไม่ว่ากับเรื่องอะไรก็ตาม.



     สิ่งที่ได้จากหนังเรื่องนี้คือความพยายาม ความมุ่งมั่น ทุมเท ให้กับสิ่งที่เราทำ และมีคำนึงที่ เฟลทเชอร์พูดกับพระเอกประมาณว่า "คำที่อันตรายที่สุดคือคำว่า GOOD JOB หรือ ทำได้ดีแล้ว" นั่นเพราะมันจะทำให้คนที่ได้ฟังหยุดความพยายามลง.

     ดูจบอยากจะปรบมือให้เลย เรื่องนี้ผมให้เต็มครับ 10/10 ใครยังไม่ได้ดูก็รีบไปดูกันซะนะครับ
 เพราะเดี๋ยวจะลาโรงซะก่อน ยิ่งมีรอบฉายน้อย ๆ อยู่ .

     แล้วคุณล่ะ ได้พยายาม ทุ่มเท กับสิ่งที่ทำอยู่กันหรือยัง ?

วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2557

2014 : The Babadook ปลุกปีศาจ

     The Babadook หนัง Horror, Thriller สยองขวัญแบบแนวออกจิตวิทยาโหด ๆ บอกมากเดี๋ยวจะกลายเป็นการสปอย.
     หนังเป็นแนวสยองแบบแปลก ๆ เหมือนจะผสมผสานความเป็นแนวจิตวิทยากับเรื่องผีเหนือจริง รึเปล่า อันนี้ต้องพิสูจน์เอง ส่วนผสมนี้จะออกแนวหลอน ๆ น้อยกว่าแบบจิตหลอน [แต่ผมไม่บอกหรอนะ ว่าที่จริงมันคืออะไร].
     ครึ่งแรกของหนังจะเป็นการประชันบทบาทระหว่างแม่กับลูกชาย ซึ่งไม่ได้มีแนวผีหลอกอะไรเลย แต่จะออกแนวจิต ๆ ซะมากกว่า เหมือนคุณดูเรื่อง Orphan เด็กนรกนั่นล่ะ เพราะไอ้เด็กคนนี้มันดู บ้า ๆ เกรียน ๆ นรก ๆ จริง ๆ กวนประสาทโดยแท้ ถ้าผมยืนอยู่ในหนังด้วย ผมอยากจะตบกะโหลกมันจริง ๆ [อุ๊ย ... โทษที ลืมตัว] นี่เเหล่ะ ผมว่าไอ้เด็กคนนี้แสดงดีมากเลย.
     ตัวแม่ก็พอกันครับ แรก ๆ ก็ดูนิ่ง ๆ ทน ๆ ดี จากนั้นเธอก็เกิดฟิวส์ขาด น็อตหลุด แสดงอารมณ์ออกมาได้สมบทบาทดีแท้ อยากจะปรบมือให้กับการแสดงจริง ๆ เก่งมาก ๆ ผมเผ้ารุงรังได้ที่ การแสดงออกทางสีหน้า กระทั่งผิวหน้ามีการกระตุก ๆ บ้างดูแล้วสมบทบาทของคนที่อยู่ให้ภาวะเครียดจริง ๆ ผมให้คะแนนเต็มด้านการแสดงของแม่ลูกคู่นี้เลย.
     ครึ่งหลังจะออกแนวจัดเต็ม ผมบอกรายละเอียดไม่ได้หรอก เดี๋ยวจะเป็นการสปอยซะเปล่า ๆ เอาเป็นว่ามีความมันส์ในช่วงท้าย ๆ พอสมควรทีเดียว แต่หนังไม่ได้โหดนะครับ แค่ทำให้เรากลัวและมีขนลุกในบางช่วง ไม่ใช่แนวตุ้งแช่ แต่ผมใช้คำว่า "จัดเต็ม" ดีกว่า ส่วนจะจัดมากน้อยแค่ไหน ก็เเล้วแต่ว่ามุมมองของแต่ละคน สำหรับผม คิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอล่ะครับ.
     การที่หนังไม่ได้เน้นความเป็นแฟนตาซีเหนือจริงทำให้หนังยังพอเดินอยู่บนความสมเหตุสมผล นั่นทำให้หนังดูน่าเชื่อถือมากขึ้น ดูน่ากลัวแต่ไม่ได้หลอนมากมายอะไร ทำให้เรายังรู้สึกถึงความคุ้มค่าพอประมาณ.
     ความที่หนังไม่ได้สาธยายหรือบอกที่มาของ The Babadook ว่าเป็นมายังไง เป็นจุดอ่อนนึงที่ทำให้ความอินกับตัวหนังยังไม่ถึงที่สุด ถ้าหากสามารถเล่าที่มาของ The Babadook ได้ ผมว่าหนังเรื่ิงนี้จะน่ากลัวมากกว่านี้อีกเยอะ.
     ข้อดีของหนังคือ แม้ว่าจะไม่ได้เล่าที่มาของ TheBabadook แต่การดำเนินเรื่อง และการนำเสนอของหนัง ความเป็นศิลปะในการถ่ายทำ มุมกล้อง เสียงประกอบต่าง ๆ ผมว่าทำได้ดีเลย คือดูแล้วคิดตาม น่าติดตามตลอด ทั้ง ๆ ที่ดูรอบดึก ๆ ง่วงด้วย แต่ตลอดเวลาที่ดูหนังเรื่องนี้ กลับไม่ง่วงเลย ไม่มีหลุดโฟกัส ไม่มีช่วงที่เบื่อเลย... อีกอย่างคือความบ้า และอารมณ์ขันบางส่วนของหนังทำให้ผมหลุดหัวเราะมาหลายครั้ง จะกลัวรึจะฮากันแน่ บางทีมันก็ทำให้หนังน่าสนใจขึ้นเยอะ.
     ข้อคิดสำหรับหนังเรื่องนี้ยังจับอะไม่ได้ชัดเจน ที่เห็นก็แค่ความรักของแม่ที่มีต่อลูก อย่างเช่นตอนที่คนอื่นพูดถึงลูกตนว่า "เด็กคนนี้" แม่ก็จะสวนกลับไปว่า "เขามีชื่อนะ" ที่เหลือผมยังมองไม่เห็นข้อคิดใด นอกจากความบันเทิงจากการนำเสนอที่ดูไม่เบื่อจากต้นจนจบเรื่อง ... แต่คนที่ไปดูกับผม เขาไม่ชอบหนังแนวนี้หรือหนังที่ต้องคิดตาม บอกว่าเบื่อ ... แต่ละคนก็มองต่างกัน.
     ด้วยความบ้าและความกล้าของการนำเสนอหนังสยองแนวนี้ที่พยายามฉีกตัวเองให้แยกออกห่างจากหนังแนวเดียวกัน ถือว่าน่าสนใจและก็ทำออกมาได้ดีใช้ได้ ไม่ถึงกับสุดยอด แต่มีช่วงพีค และช่วงที่ดึงอารมณ์คนดูให้ลากมาสุดได้หลายช่วง ... ผมว่า ใช้ได้เลยนะ.
     คุณล่ะ ปิดประตูบ้านรึยัง ระวัง The Babadook จะไปหาที่บ้านนะ .








วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557

2014 : Annabelle ตุ๊กตาผี

     Annabelle หนังผีเกี่ยวกับวิญญาณปีศาจร้ายที่แฝงอยู่ในตุ๊กตา เป็นหนังผีที่ทำออกมาได้เนิบจริง ๆ ... หนังเป็นเรื่องของสามีภรรยาคู่หนึ่ง ที่ภรรยาชอบสะสมตุ๊กตา วันหนึ่งสามีซื้อตุ๊กตามาให้ และแล้วเหตุการณ์ร้าย ๆ ก็เกิดขึ้นเรื่อย ๆ



     หนังดำเนินเรื่องได้ราบรื่น เรื่อย ๆ มีทิศทางไปข้างหน้า ไม่ว่อกแว่ก ไม่ติดขัด และที่สำคัญ ไม่สุดทาง.
     การแสดงของดารานำอยู่ระดับกลาง ๆ พระเอกนางเอก หน้าตาดี ดูสบายตา [เอ๊ะ เกี่ยวมั๊ยเนี่ย ... เอาน่า ก็ถู ๆ ไถ ๆ ไปครับ]



      หนังแนวนี้ปกติต้อง โหด สยอง ตกใจ เลือดสาด [บ้างก็ดี] หลอน หักมุม .... ผมว่าเรื่องนี้ทำไม่ถึงสักอย่าง คือมันเหมือนเราดูตัวอย่างเราก็ตกใจไปหมดแล้ว มากกว่าตัวอย่างมันไม่ได้น่ากลัวอะไรเลย [ผมเป็นคนกลัวผี ชอบดูหนังผี และที่สำคัญ ผมขวัญอ่อน]


     ตอนจบต้องหักมุมจบให้หลอน อันนี้คือความตั้งใจของผม และคิดว่าหลาย ๆ คนที่ชอบหนังผี หนังสยอง แบบนี้ [ย้ำนะครับว่าคนที่ชอบแนวนี้จริง ๆ] มันควรจะหลอน และหักมุมให้อึ้งกันไปเลย .... แต่ก็ "ไม่"



     หนังเรื่องนี้เหมาะกับคนที่ชอบดูหนังผีแบบไม่โหด ไม่เลือดสาด ไม่หลอน และไม่น่ากลัวมาก ... สำหรับฉากตกใจตุ้งแช่ เราก็จะได้เห็นหมดแล้วในตัวอย่าง ฉะนั้นอย่าได้ตั้งความหวังว่ามันจะมีฉากที่ทำให้ตกใจมากกว่านั้น.



     บทสรุปตอนท้ายมันทำให้ผมนึกถึงเรื่องของบท เฮ้ยยย ตอนต้นเรื่องหนังมีคำพูดดี ๆ เหมือนบทหนังจะดี แต่พอมาท้ายเรื่องกับบทสรุปแบบนี้ ผมว่ามันจบแบบง่าย ๆ เกินไป และขาดเหตุผลพอสมควรครับ
... แต่ถ้าถามผมว่าหนังน่าเบื่อไหม ผมว่า เกือบจะเป็นเช่นนั้น แต่ก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะเวลาที่เราดูแต่ละช่วง ๆ ที่ผ่านไป มันก็ยังมีความน่าติดตามอยู่ แต่มันเดินเรื่องแบบ เนิบ ... ตื่นเต้น แต่ไม่สุด ... เนิบ ... ตื่นเต้น แต่ไม่สุด ... เนิบ ... จะเป็นวัฏจักรแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนจบ





     สำหรับผม ที่ไม่ได้คาดหวังมาก รู้สึกค่อนข้างเสียดายเงิน และ เวลา ผมว่าหนังเหมาะที่คุณจะดูฟรีที่บ้าน อ้อต้องหาอะไรทำไปด้วยนะครับ เช่นกินข้าวไปดูไป ผมว่าจะคุ้มค่าที่สุด.
     หนังไม่ได้เลวร้ายอะไร เพียงแค่ไม่เท่ากับที่คิดไว้ เท่านั้นเอง ... สำหรับผม เรื่องนี้ ... "ยังไม่ผ่านครับ"

วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2557

2014 : The Purge Anarchy คืนอำมหิต คืนล่าฆ่าไม่ผิด

     ถ้าพูดถึงหนัง Thriller / Horror ที่มีเนื้อหาแหวกแนวซักเรื่อง คงไม่พ้น The Purge ซึ่งเป็นหนังเกี่ยวกับการลดอาชญากรรมโดยใช้ 1 คืน เป็นวันปลดปล่อย ให้คนได้ "ล้างบาปด้วยการฆ่า" ภายในเวลาไม่เกิน 7 โมงเช้าของอีกวัน โดยไม่ผิดกฏหมาย โดยมีจุดประสงค์คือ ควบคุมจำนวนประชากร และลดอาชญากรรม โดยเป้าหมายหลักคือเหยื่อมักจะไปอยู่ที่ คนเร่ร่อนไม่มีบ้าน และคนจนที่ไม่สามารถหาอุปกรณ์ป้องกันตนเองได้.



     ภาคแรกของ The Purge ก็ทำออกมาได้ดี จบได้ "ไม่" สะใจคนดู แต่เรียกได้ว่าจบได้สวย



     แม้ว่านี่จะเป็นภาคต่อของหนัง แต่ผมก็คิดว่าควรเกริ่นเรื่องนี้ก่อน คือเนื้อหาโครงเรื่องข้างต้น เป็นอะไรที่ขัดใจหรือขัดหลักเหตุผลมนุษยธรรมมากพอควร คือมันจะเป็นไปได้ไงที่คนมากมายจะยอมรับการฆ่าคนบางส่วนเพื่อทำให้คุณภาพชีวิตคนอีกกลุ่มนึงดีขึ้น หรือเชื่อว่าดีขึ้น ... แนวความคิดนี้ก็เหมือนเป็นโจทย์หรือเงื่อนไขที่หนังได้สร้างขึ้นมา ก็เเล้วแต่ว่าเรายอมรับตรงนี้ได้ไหม ถ้าคิดว่ายอมรับเหตุผลนี้ไม่ได้ หนังเรื่องนี้ก็ไร้เหตุผล ผมแนะนำว่าคุณควรหยุดอ่านซะตรงบรรทัดนี้ได้เลยครับ ไม่งั้นจะกลายเป็นว่าผมเอาเรื่องที่ไม่น่ามีเหตุผลมาวิเคราะห์ แล้วจะไม่ชอบหนังเรื่องนี้ซะเปล่า ๆ ... ตอนก่อนดูภาคแรกผมก็ไม่ยอมรับ แต่พอได้ดูหนัง ผมกลับ ชอบนิดนึง !!! ซะงั้น ... เอาล่ะ ถ้าคุณคิดว่ายอมรับเงื่อนไขของหนังได้ เราก็จะมาดูในการนำเสนอของภาคนี้ต่อเลย.



     หนังเริ่มมาก็ปูพื้นคนโน้นคนนี้นิดหน่อย ไม่ได้ปูลึกมาก ซึ่งก็ดีกับตัวหนังเพราะมันจะได้ไม่เยิ่นเย้อเกินไป ซึ่งตรงนี้ผมว่าการปูพื้นน้อย ๆ กระชับก็ดี มันไม่น่าเบื่อ จากนั้น หนังแสดงถึงพระเอก ในเรื่องชื่อ "LEO" ลีโอ ซึ่งในวันที่จะมีการล้างบาปคนอื่นเตรียมตัวหาทางกลับบ้าน ล็อคบ้าน แต่ลีโอกลับทำตรงกันข้าม เขาเตรียมออกไปข้างนอก เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง ระหว่างทางที่จะไปนั้น ได้พบเจอกับการฆ่าหลายคนโดนฆ่า เขาจำต้องทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเหตุการณ์เหล่านั้น จนในที่สุดก็ต้องมาเกี่ยวพันกับคนบางกลุ่ม เหมือนตกกระไดพลอยโจน กลายเป็นการเดินทางร่วมกัน ต้องพึ่งพากัน นำมาสู่มิตรภาพและการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในขณะที่ต้องผ่านเหตุการณ์ที่โหดร้ายและไม่น่าไว้วางใจ เส้นทางเดียวกันแต่จุดประสงค์ต่างกัน อีกคนจะไปฆ่า อีกคนต้องการผ่านคืนนี้ไปให้ได้อย่างปลอดภัย.



     หนังดำเนินเรื่องโดยใช้ ลีโอ เป็นแกนหลักของเรื่องซึ่งผมว่าเขาเลือกตัวนักเเสดงได้ดี ผมไม่รู้จักนักแสดงคนนี้มาก่อน เขาคือ Frank Grillo หน้าตาจะหล่อก็ไม่ถึงขั้นมากแต่ดูแบบเข้ม ๆ หน้าออกแนวเถื่อน ๆ หน่อย เห็นหน้าและบุคคลิกแล้วนึกไปถึง บทริกส์ พระเอกหนัง Series เรื่อง The Walking Dead เลย สไตล์คล้ายกันมาก [ปกติผมก็คลั่งหนังซอมบี้ The Walking Dead อยู่แล้ว] ผมว่าบท ลีโอ ดูมีความมุ่งมั่งบวกกับความแค้นในใจ และมีลักษณะของความเป็นผู้นำ และที่สำคัญคือ มีความเป็นคนดีเสียสละอยู่ในแววตาของเขาจริง ๆ นี่ทำให้หนังเรื่องนี้ดูน่าติดตามขึ้นอีกเยอะ ... คือถ้าพระเอกออกแนวชั่ว ๆ ไปเลย ผมว่าคนดูคงไม่ลุ้นช่วยเท่าไร.



     จังหวะของหนังตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบเรื่องมีความสม่ำเสมอดี ไม่ช้าเนิบบ้างเร็วเกินบ้าง ผมว่าเรื่องนี้ควบคุมจังหวะในการเดินเรื่องได้ดี.



     โทนหนังไม่อึมครึมเกินไป ทั้ง ๆ ที่ส่วนใหญ่เป็นเหตุการณ์ช่วงกลางคืนซึ่งถ้าถ่ายทำ จัดแสงไม่ดี มันจะน่ารำคาญไปเลย แต่เรื่องนี้จัดแสงและภาพได้ดี ดูแล้วไม่ทำให้เหตุการณ์มืด ๆ เป็นอุปสรรคในการดูเลย.



     The Purge Anachy ได้เสียดสีเรื่องของชนชั้น คนจน คนรวย การแบ่งแยก เลือกปฏิบัติ ความไม่เท่าเทียมกัน หลาย ๆ อย่างที่หนังได้กัดจิกสังคมมันสะใจสำหรับคนจน คนที่ไม่มีสิทธิ์เลือก คนที่ไม่ได้เกิดมามีโอกาส คนที่ไม่ได้ร่ำรวยเงินทอง คนที่ไม่มีบ้าน คนที่มีรายได้จำกัด ... คนที่ไม่มีทางเลือก ... ผมว่าหนังได้เสียดสีอย่างแรง และผมรู้สึกครับ ผมสะใจกับเนื้อหาในส่วนนี้ ใช่ครับ เพราะผมไม่ใช่คนรวย ถ้าผมเข้าไปอยู่ในเรื่อง ผมคงต้องถูกทิ้งอยู่บนถนนท่ามกลางพวกที่กระหายจะ "ฆ่า" .



     นอกจากนั้นหนังยังพูดถึงการแก้แค้น การให้อภัย และผลของการให้อภัย สิ่งที่ดีอีกอย่างคือมิตรภาพที่เกิดจากการผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมาด้วยกัน คงจะจริงสินะ สำหรับคำพูดที่ว่า เมื่อเผชิญเหตุการณ์ร้าย ๆ เราจะเห็นว่าใครเป็นยังไง อันนี้ไม่เกี่ยวกับหนัง เป็นความคิดเห็นที่เกิดขึ้นหลังจากได้ดูหนังจบแล้ว.



     การล่าและฆ่า ในหนังไม่ได้เน้นความโหดสะอิดสะเอียน กระซวกไส้ กรีดหน้า เชือดคอ พวกนี้ไม่มี แต่หนังแค่แสดงให้เห็นการฆ่าตามเนื้อเรื่องเท่านั้น ไม่ได้ขายฉากโหด ใครอยากดูฉากโหดซาดิสต์ข้ามเรื่องนี้ไปเลยครับ.




     นี่เป็นหนึ่งในหนังดีที่ดูสนุก มีสาระชัดเจน ไม่ว่อกแวกในแนวทางของตนเอง ประเด็นหลัก ประเด็นย่อย คล้อยตามกัน มีความกลมกลืนสอดคล้องของแต่ละเหตุการณ์ และที่สำคัญคือหนังได้ตอกย้ำสิ่งที่จะบอกคนดูให้หนักแน่นขึ้นกว่าภาคแรกด้วยซ้ำ ... แนะนำให้ชมครับ.

     อย่าลืมล๊อคประตูบ้านให้แน่นหนานะครับ เพราะพวกมันพร้อมอาวุธครบมือ อาจกำลังเดินทางมาที่บ้าน คุณ !!!


   ==========================================

วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2557

2014 : The Maze Runner วงกตมฤตยู


     หนัง Action ดูสนุกอีกเรื่องที่ไม่ควรพลาด ... ในยุคที่ค่าตั๋วแพงลิบลิ่วการเลือกสรรหนังโรงดูสักเรื่องก็สำคัญไม่ใช่น้อย เพราะตังค์เราที่จะดูหนังเรื่องนึงประมาณ 180 บาท [บวก ลบ หรือโปรโมชั่นต่าง ๆ มากน้อยก็แล้วแต่] นั้นกินอาหารมื้อละ 50 - 60 บาท ได้ 3 มื้อเลยทีเดียว นั่นก็คงสำคัญพอที่เราจะต้องใช้เวลานิดหน่อยในการมาอ่านบทวิจารณ์ เพื่อเลือกสรรหนังที่จะดูว่าตรงใจเรามากน้อยแค่ไหน .... ว่ากันต่อเลยดีกว่า.



     The Maze Runner เป็นหนังออกแนว Action + กับอะไรดีล่ะ อืมมม ดูจากหน้าหนังใน Trailer น่าจะบวก Sci-Fi ด้วย นี่ไม่ใช่การสปอยน์นะครับ ... เห็นตัวอย่างก็อยากดูกันแล้ว บอกได้เลยว่าน่าสนใจมาก เอาเรื่องของวงกตมาเล่น มันก็น่าจะมีอะไรที่ดูน่าค้นหา ตื่นเต้นลึกลับบ้างถึงจะเพิ่มความสนุก ที่พูดมานั่นหล่ะ มีอยู่ในเรื่องนี้เลย.



     หนังเปิดเรื่องมาเหมือนที่เห็นในตัวอย่าง คือพระเอกอยู่ในลิฟท์ และถูกส่งมาที่ทุ่งแห่งหนึ่งซึ่งมีกลุ่มคนอยู่ก่อนแล้ว จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองคือใคร ชื่ออะไร และพบว่าตัวเองและเพื่อนในนั้นต่างก็ตกอยู่ในกำแพงวงกตที่แน่นหนาใหญ่โต มีสัตว์ร้ายอยู่ในวงกตนั้นด้วย ไม่มีใครเคยผ่านวงกตไปได้ข้ามคืน



     โธมัส พระเอกของเรื่องจะเป็นคนที่มีความคิดแตกต่าง ไม่เหมือนใครในกลุ่ม ซึ่งนั่นทำให้เขาได้นำมาซึ่งสิ่งที่แตกต่างจากที่กลุ่มได้เคยตั้งกฏปฏิบัติมานาน กฏเกณฑ์ใช้ไม่ได้กับความสงสัยของโธมัส เขาอยากรู้มากว่าจะออกไปจากวงกตนี้ได้ยังไง ซึ่งความอยากรู้นี่มันแรงมากจนกล้าที่จะทำในสิ่งที่คนอื่นหลีกเลี่ยง.



     การดำเนินเรื่องไม่ซับซ้อน เนื้อเรื่องเดินไปข้างหน้าทีละน้อย ไม่ได้รวดเร็วอะไร แต่ก็น่าติดตามตลอด โดยมีโธมัสเป็นตัวเดินเรื่อง ความน่าสนใจคือข้างในวงกตมีอะไร พวกเขาเป็นใครกันแน่ มาอยู่ที่นี่กันได้ยังไง และที่สำคัญคือจะหาวิธีไหนที่จะออกไปได้ หนังไม่ได้สนุกตรงที่มีสัตว์ประหลาดอะไรมากมาย แต่หนังสนุกตรงการตัดต่อเล่าเรื่องที่มีความเรียบง่าย สัดส่วนของแต่ละอย่างที่พอเหมาะพอดี ความเป็นแอคชั่นที่มีให้พอประมาณ ไม่ได้มากแบบจัดเต็ม แต่ก็ได้ความรู้สึกที่อิ่มพอ  ส่วนของความสัมพันธ์และการให้ความสำคัญของ เพื่อน มันแฝงมาแบบเนียน ๆ ไม่ได้รู้สึกถูกยัดเยียดบทดราม่า



     ข้อดีของหนังเรื่องนี้คือมันเป็นหนังที่ดูจบแล้วกล้าที่จะบอกเพื่อนได้เต็มปากว่า "สนุกมาก ห้ามพลาดนะเว๊ย" คือมันมีความบันเทิงในด้านต่าง ๆ อย่างครบสูตร คุ้มค่ากับราคาตั๋วที่แพงเท่ากับอาหารหลัก 3 มื้อ



     ข้อคิดก็มีให้เราได้ติดหัวเอากลับมา ประมาณว่า " ไม่สำคัญว่าอดีตเราจะเคยเป็นใครมาก่อน แต่สำคัญที่ปัจจุบันเราเป็นใครต่างหาก " ถ้าจำผิดขออภัยด้วยครับ



     จุดอ่อนที่ผมมองเห็นก็คือ นางเอก บทน้อย ไม่ค่อยได้เน้นความสำคัญของนางเอก ซึ่งอันนี้ผมคิดว่าน่าจะไปมีบทมากขึ้นกับภาคต่อไปซะมากกว่า เดาเอาน่ะครับ


     แล้วคุณล่ะ ! ให้ความสำคัญกับอดีตของคุณหรือปัจจุบันมากกว่ากัน ?


วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2557

2014 : Sex Tape เทปเอ็กซ์เซ็กส์ว้าวุ่น

     Sex Tape หนังผู้ใหญ่แบบน่ารักที่แสดงนำโดย Cameron Diaz อันดับต้น ๆ ของตัวแม่แห่งวงการหนังตลกแนวทะลึ่ง ๆ .... คนรุ่นอายุ 30 - 40 คงจะพอจำกันได้กับ There's something about Mary หนังตลกแบบทะลึ่งแบบมุขอับอายขายหน้าสุด ๆ เป็นหนึ่งในหนังตลกแนวนี้ทีดีที่สุดตั้งแต่ผมได้ดูมา ... ก็ดิแอซมีผลงานเจ๋ง ๆ แบบนี้ มันก็เป็นธรรมดาที่เราจะคาดหวังกับหนังเรื่องล่าสุดของเธอ SEX TAPE.



     เรืื่องนี้ก็ออกแนวทะลึ่งจริงจังและเจ็บตัว ... เรื่องคร่าว ๆ คือ ผัวเมียคู่หนึ่ง เจย์ และ แอนนี่ ตั้งแต่สมัยวัยสะรุ่น ทั้งสองชอบมีเซ็กซ์กันมาก ต่างหลงไหลในเซ็กซ์และสามารถมีอะไรกันได้ทุกที่ทุกเวลาจนกระทั่งข้าวปลาไม่ได้กินอะไรประมาณนั้น กระทั่งแอนนี่ตั้งท้อง และแต่งงานกับเจย์ชีวิตเซ็กซ์ของทั้งสองก็ลดลง ๆ เรื่อย ๆ จนห่างหายไปนาน วันหนึ่งทั้งคู่ก็นึกพิเรนท์อยากถ่ายหนังโป๊ จากนั้นเกิดพลาดพลั้งคลิปหลุดไปทางคลาวด์ผ่านเครื่อง I-Pad ที่ได้ซื้อมาให้เพื่อน ๆ และคนรู้จัก ก็เป็นจุดเริ่มต้นให้ทั้งสองต้องดั้นด้นออกตามหา I-Pad และตามลบคลิปโป๊นั้น.



     หนังเริ่มด้วย เจย์ และ แอนนี่ในวัยรุ่น เปิดด้วยมุขที่มีเซ็กซ์กันได้ทุกที่ทุกเวลา อันนี้ผมว่ามันฮามากเลย มันเหมือนไม่น่าจะมีคนปกติที่ไหนเขาทำกัน มันเกินไปหน่อยแต่มันก็ตลกมาก .... จากนั้นพอรู้ว่าท้อง ผมชอบประโยคที่พ่อของแอนนี่บอกว่า "บอกลาเซ็กซ์ได้เลย" มันเหมือนเป็นประสบการณ์จากคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน.



     จากนั้นหนังพาเราดำเนินเรื่องในช่วงต้นไปถึงกลางเรื่องแบบว่า ช้า ๆ นะ ผมว่ามันก็ไม่ได้รู้สึกติดขัดในการลำดับเรื่อง แต่หนังมันยังไม่กระชับ นั่นอาจเพราะหนังพยายามปูเรื่องซึ่งมันก็ไม่ได้มีอะไรมาก จากตัวอย่างที่ดู มาถึงตอนเกือบ ๆ กลางเรื่องมันก็ไม่ได้มีอะไรที่มากไปกว่าตัวอย่างที่เราได้ดูมาก่อน.



     ช่วงกลางถึงท้าย เป็นช่วงที่เริ่มมีการจัดมุขฮา เจ็บตัว มากขึ้น หนังพยายามที่จะอัดมุขเข้ามาแต่ก็ไม่ใช่มุขที่แปลกใหม่อะไร เพราะเวลาดูก็จะไม่ได้ขำทุกมุข [อันนี้อาจจะแล้วแต่คนชอบด้วย] แต่ด้วยจำนวนมุขที่มันมาเยอะ มันก็ต้องมีบ้างล่ะที่โดนคุณ อย่างเช่น บางฉากคนในโรงเงียบกริ๊บ แต่มีเสียงหัวเราะโผล่มาเป็นหย่อมเล็ก ๆ นึกออกใช่มั๊ยครับ คนบางคน Get บางมุข แต่บางคนไม่ Get ก็เป็นเรื่องปกติ แต่เชื่อเหอะต้องมีบางมุข หรือหลาย ๆ มุขที่โดนใจคุณบ้างล่ะ.



     หนังจะเบาสมองมาก คือไม่ต้องคิดอะไรซับซ้อน เนื้อเรื่องหลวม ๆ บางฉาก บางตอนขาดเหตุผลแบบที่ว่าอยากให้เรื่องเดินไปในทิศนี้ก็ทึกทักเอาเลยโดยผมว่ามันอาจดูเป็นจุดอ่อนไปมากพอควร แม่จะบอกว่านี่คือหนังตลกเบาสมอง แต่อย่างนึงคือเหตุผลพื้นฐานมันต้องมีครับ แต่ก็ไม่ใช่ประเด็นหลัก คือความไม่สมเหตุผลในบทบางช่วงมันผูกโยงเกี่ยวกับผู้แสดงสมทบซึ่งอาจไม่ได้กระทบมากกับตัวหนัง มันก็แค่สร้างความรู้สึกแปลก ๆ เหมือนดูละครไทยในบางช่วง.



     ถึงหนังจะดูเนื้อหาไม่แน่นปึ๊กแบบ There's Something About Mary แต่หนังก็ได้นำมาซึ่งความบันเทิงจากมุขขำขันมากมาย โดนบ้าง เฉี่ยว ๆ บ้าง แป๊กบ้าง ตามประสาหนังตลก แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยังคงเป็นมาตรฐานของหนังตลกชั้นดี เเทบจะทุกเรื่องที่เขาจะใส่ข้อคิดดี ๆ มาเป็นหัวใจหลักสำคัญของหนังเรื่องนั้น ๆ SEX TAPE เองก็เช่นกัน.



     ขอโฉบไปพูดเรื่องโฆษณาหน่อยครับ เรื่องนี้เน้นโฆษณา Apple ชัดเจนครับ พูดถึง I-Pad ท๊างงงงงเรื่อง แล้วก็มีจิก Apple นิดนึง เรื่อง Cloud ที่ในตัวอย่างพระเอกบอกว่า Cloud เป็นเรื่องลึกลับไม่มีใครรู้ อันนี้ผมขำเลย สรุปว่าคลิปโป๊หลุดไปเพราะ Cloud ซึ่งผมเลยสงสัยว่า มันจะเป็นการเชิดชูให้คนมาซื้อผลิตภัณ์ Apple หรือว่าจะยิ่งทำให้คนกลัวข้อมูลหลุดไปจากการใช้ Cloud ไม่เป็น ... อันนี้ขำ ๆ นะครับ



     สิ่งดี ๆ ที่ได้จากเรื่องนี้อย่างแรกก็คือ [ผมจำมาอาจพูดไม่ถูกเป๊ะ เอาแค่ความหมายก็พอครับ] ที่ แจ็ค แบล็ค พูดกับพระเอกนางเอกว่า ... หนังโป๊ไม่ได้ทำให้คนมารักกันได้ แต่จุดประสงค์ของการทำหนังโป๊เตือนให้คนจำได้ว่า ทำไมเขาถึงรักกัน ... เออ ดูมัน เอาเรื่องแบบนี้มาพูดให้ซึ้งซะงั้น ก็ทำได้เนอะ แต่ผมก็ชอบนะ



     ข้อคิดดี ๆ อีกอย่างคือ ที่นางเอกพูดตอนโมโหว่า ... พอวิกฤตหรือมีปัญหามันจะเเสดงให้เห็นธาตุแท้ของคน ... แล้วหนังก็ย้ำเตือนให้เราเห็นว่าพระเอกกับนางเอกคิดถึงอีกคนยังไงหลังจากเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว แต่คุณจะต้องซาบซึ้งไปกับคำพูดเหล่านั้น ... ไม่มากก็น้อย

     แล้วคุณล่ะ .... ลบวีดีโอลับ ๆ ของคุณรึยัง ? ถ้าดูหนังเรื่องนี้แล้วก็รีบลบซะนะ อิ อิ อิ.


วันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2557

2014 : Wer คนหมาป่า

     จากที่เห็นโปสเตอร์หนัง และคาดเดาเอาเองว่าคงเป็นหนึ่งในหลาย ๆ หนังห่วยเกรดบี แนวมนุษย์หมาป่า Werewolf ที่พอพระจันทร์เต็มดวงก็กลายร่างเป็นหมาป่าร่างใหญ่ หน้าตาโหดเหี้ยม ที่นี้แต่ละเรื่องที่ผ่านมา ก็แนวเรื่องคล้ายกันหมด ต่างกันแค่การออกแบบมนุษย์หมาป่าให้มันโหด อุบาทว์ ให้มันน่าเกลียด ดุร้ายที่สุดเท่าที่จะทำได้ กลายเป็นว่าหนังแนวนี้เลยกลายเป็นหนังเกรดบีไปเลย ไม่ว่าใครจะสร้างออกมา ก็เหมารวมไปได้เลยว่าเป็นหนังเกรดบี เนื้อหา ความน่าเชื่อถือ ความสมเหตุผล ไม่ต้อง เพราะเป็นพื้นฐานมาจากความเชื่อล้วน ๆ เหมือนหนังผีนั่นหล่ะครับ .... แต่ ....
     แต่ .... เรื่องนี้ " ไม่ใช่ !!! "


     พอมาดู Trailer ตัวอย่างหนัง สิ่งที่เห็นมันดูแบบว่า น่าสนใจ ดูเหมือนมีการทดลอง ดูเหมือนจะไม่ได้ส่อเเววมาทางความดุร้ายเพียงอย่างเดียว เอ๊ะ แล้วมันเป็นยังไง ... ผมก็เลยต้องตีตั๋วดูซะเลย !


     ที่ประเทศฝรั่งเศส หนังเป็นเรื่องของชายคนหนึ่งที่ร่างกายใหญ่โต มีขนเต็มตัว เต็มหน้า ซึ่งเป็นจำเลยคดีฆ่าครอบครัวหนึ่ง ซึ่งนางเอกเป็นสาวอเมริกันที่มารับหน้าที่เป็นทนายฝ่านจำเลย เธอพยายามหาข้อพิสูจน์ หาหลักฐานว่า ชายคนนี้ไม่น่าใช่ฆาตกร โดยการพยายามพิสูจน์ว่า ชายคนนี้เป็นโรคชนิดหนึ่งซึ่งสามารถอธิบายทางการเเพทย์ได้ว่า ไม่มีเรื่ยวแรงพอที่จะฆ่าหรือทำร้ายใครได้โหดร้ายขนาดรอยแผลที่ชันสูตรพบ ... เรื่องจะเป็นยังไงต้องไปพิสูจน์ดูในโรงต่อ.


     นี่เป็นหนังหมาป่าที่ดูแล้วชอบที่สุด เพราะว่ามันอ้างอิงวิทยาศาตร์ และการแพทย์ทั้งหมด เป็นหนังหมาป่าที่ไม่เหมือนเรื่องอื่น เพราะไม่ได้เน้นการกลายร่างเป็นสัตว์ร้ายที่ดูน่าเกลียดน่ากลัว มันเป็นหนังสืบสวน ผสมกับแนว Thriller เขย่าขวัญ ในแบบที่ดูสนุก มันส์ ๆ ในช่วงท้าย แต่ช่วงต้นมันเป็นการปูเรื่องที่ออกจะเนิบ ๆ เพราะมีบทพูดเเละการสืบสวน วิเคราะห์พอสมควร ถ้าชอบแนวสืบสวนจะไม่เบื่อเลย แต่ถ้าคนที่ชอบหนังที่มาถึงก็ดป้งป้าง โครมคราม คุณอาจไม่ชอบช่วงแรกของหนัง.


     การเดินเรื่องน่าติดตาม ไม่พบช่วงที่จะสะกดให้หลับเลย [สำหรับคนชอบแนวสืบสวนช่วงต้นเรื่อง] สำหรับช่วงครึ่งหลัง ใครชอบภาพโหด ๆ มีแหวะบ้าง รับรองได้เจอแน่ ความโหดไม่ได้เน้น แค่เป็นส่วนประกอบที่หนังแนวนี้พึงมี.


     เหมือนจะมีแต่คำชม ก็จริงครับ ยอมรับว่าชอบหนังเรื่องนี้มาก เพราะมันเป็นหนังที่ดู Realistic ถ้าคะเเนเต็มเท่าไร ผมให้เกือบเต็มไปเลย.


     จุดอ่อน ก็ต้องมีบ้าง อาจจะแล้วแต่บางคนถ้าไม่ชอบการสืบสวน ช่วงแรกอาจไม่ชอบเพราะมันจะมีการพูดเยอะกว่าช่วงหลัง ... เรื่องของกล้อง ก็จะมีบางช่วงที่เหมือนถ่ายด้วยมือ ประมาณถือกล้องถ่าย มันจะให้ความรู้สึกไม่นิ่ง แต่ไม่ใช่ส่ายจนมึนนะ มันจะขยับแบบนิดเดียว ซึ่งน่าจะเป็นความตั้งใจของทีมงานที่จะให้เห็นเทคนิคที่แตกต่าง แต่ผมไม่เห็นว่าจะมีประโยขน์อะไรกับตัวหนัง ถ้าใครรู้ก็ช่วยบอกผมด้วย แต่นั่นก็ไม่ได้มีผลอะไรกับตัวหนัง เพราะถ้าคุณไม่ได้สังเกตุ คุณก็อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามีบางช่วยที่ถ่ายทำแบบนี้.

     บทสรุปคือ ไปดูเถอะครับ หนังเรื่องนี้ผมว่าคุ้มเงินที่สุด !!!!

2014 : Deliver Us From Evil ล่าท้าอสูรนรก


     Deliver Us From Evil ล่าท้าอสูรนรก, หนังผีปีศาจดำเนินเรื่องแบบหนังสืบสวน เป็นเรื่องของตำรวจสืบสวนคดีอาชญากรรม ที่ต้องไปสืบสวนคดีนึงซึ่งสาวไปสาวมาไปเกี่ยวพันกับเรื่องของสิ่งเหนือธรรมชาติ มีนักบวชเข้ามาร่วมช่วยกันไขคดี ทิศทางของคดีจึงไปทางการไล่ผีซะมากกว่า.


    เปิดเรื่องมาช่วงแรก ๆ จะเห็นบทพระเอกแสดงโดย เอริค บานา ไล่จับผู้ร้าย เป็นแอ็คชั่นมันส์ ๆ ที่ดูแล้วกระฉับกระเฉงฉับไว สนุกดี เป็นการกระตุ้นไม่ให้หลับ.

     จากนั้นช่วงครึ่งแรกของหนังเป็นการสืบสวนคดีอาชญากรรมที่เกี่ยวพันกัน.

     ครึ่งหลังหนังนำให้เรามุ่งถลำลึกไปสู่ภูติผีปีศาจ ซึ่งหนังจะค่อย ๆ เดินเรื่องอย่างเนิบ ๆโทนหนังจะกลมกลืนกันทั้งช่วงแรกและช่วงหลัง.

     หนังเป็นส่วนผสมของแนวสืบสวนผสมกับหนังปีศาจ ผีเข้า ไล่ผี อย่าง The exocism of Emily Rose หรือ The possession ประมาณนั้น ถ้ามองไปที่การเดินเรื่องแนวสืบสวนก็ถือว่าทำได้ดีน่าติดตามตลอด ไม่มีช่วงติดขัด , ถ้ามองไปที่แนวผีปีศาจซึ่งมันเป็นหัวใจหลักของหนังเรื่องนี้ผมว่า ทำได้ดีในส่วนของการกระตุ้นให้กลัวด้วยเสียง บรรยากาศ แต่พอบทจะโหดผมว่ายังไปไม่ถึงจุดที่จะทำให้คนดูอย่างเรา ๆ จิกเก้าอี้ หรือหยุดหายใจ ตาไม่กะพริบ มันดูกลาง ๆ ไม่ถึงคำว่า " สุด ๆ " หรือ " สะใจ " อย่างหนัง Drag me to Hell, The Posession หรือ The conjuring.

     หนังมีข้อดีในส่วนของการดำเนินเรื่องแบบไม่แตกแถว คือมันกลมกล่อม มันมีบางฉากที่สโลว์โมชั่นบางฉากแบบสั้น ๆ ที่ดูเเล้วเข้ากับหนังดี ความลุ้นไม่มากแต่ความกลมกลืนไหลลื่นดี มีประเด็นในการสืบสวนที่ทำให้เราคิดตามแม้จะไม่ได้ซับซ้อนแต่หนังก็ทำให้เราเฝ้าติดตามการกระทำของตำรวจและนักบวชได้อย่างสนุก ไม่มีเบื่อ ไม่มีง่วงแน่ ๆ .

     พูดถึงข้อดีไปแล้ว ก็ต้องมีข้อด้อยบ้าง หนังมีจุดอ่อนนิด ๆ หน่อย ๆ เกี่ยวกับฉากที่ต้องใช้อารมณ์ หลาย ๆ ฉากดูเหมือนจะมีการสร้างบทที่ทำให้อารมณ์ค่อย ๆ ขึ้น ๆ ไป จนถึงจุดที่มันควรจะพีค [ไม่ได้บอกว่าจุดสุดยอดนะ ไม่ช่ายยยย] แต่มันก็ไปไม่สุดมันเหมือนเราขับรถซึ่งเรารู้ว่ามันวิ่งได้ถึง 200 กม ต่อชั่วโมง แต่พอเหยีบไป 180 ปรากฏว่า ไปต่อไม่ได้ เพราะโดนล็อคความเร็วไว้ ... ทำนองนั้นเลย.

     หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร ... จะดูให้สนุกต้องชอบแนว ผีปีศาจ ชอบหนังสืบสวนที่มีตัวเอกเป็นตำรวจ ชอบอะไรที่ไม่ซ้ำซาก ชอบแนวผสมผสาน

     สิ่งที่จะได้จากหนังเรื่องนี้ ขอบอกแบบนี้ละกัน ความผิด บาป ความเชื่อเรื่องพระเจ้า ... หนังจบบอกอะไรกับเรา อันนั้นผมก็บอกตรง ๆ ว่ายังไม่เห็นอะไรที่ชัดเจนนอกจากความสนุกของเนื้อเรื่องที่แปลก แต่จบด้วยสูตรปกติที่ไม่ต้องคาดเดาอะไร.



วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2557

2014 : Kristy [ชื่อนี้ต้องตาย]


2014 : Kristy [คืนนี้ต้องตาย]


     Kristy เป็นหนังตื่นเต้นระทึกขวัญเกี่ยวกับวัยรุ่นหญิงคนนึงชื่อ จัสติน ซึ่งพักหอในมหาวิทยาลัยช่วงปิดเทอม เนื่องจากว่าเพื่อน ๆ รวมทั้งแฟนเธอ ต่างพากันกลับบ้านกันหมด จัสตินต้องอยู่คนเดียว เหลือเพียง รปภ. สองคน แล้วเหตุการณ์ที่ไม่น่าเกิดก็ดันเกิดขึ้นจนด้ายยย ตามแนวหนัง Thriller ระทึกขวัญ แหม ถามว่าเป็นสูตรสำเร็จรึเปล่า ก็แน่ล่ะ หนังมันเดินตามสูตรทั่ว ๆ ไปแนวนี้ แต่มันได้ผล เพราะดูแล้วลุ้นไปกับนางเอก ตื่นเต้นไปกับเหตุการณ์ที่หนังพยายามจะล่อให้ผู้ชมรู้สึกตาม ก็มีบ้างที่ไม่คล้อยตาม แต่ก็ไม่มาก


     หนังวางโครงเรื่อง เหมือนจงใจตามสูตรชัดเจน คือสร้างสถานการณ์์ให้ตัวเอกของเรื่องอยู่คนเดียวในพื้นที่จำกัด ในที่นี้คือมหาลัย และหอพักในมหาลัย โดยกำหนดให้คนอื่น ๆ กลับบ้านหมด อันนี้ก็แปลกไปนิดนึง คือไม่เหลือใครเลยสักคน อ่ะ เราพยายามมองข้ามตรงนี้ไป เพราะหนังระทึกขวัญส่วนใหญ่มักมีจุดอ่อนเรื่องเหตุผลพวกเนี้ยบ้างล่ะครับ ถ้าเรามองข้ามจุดพวกนี้ไปได้ หนังจะสนุกขึ้นอีก อันนี้แล้วแต่ว่าถ้าเรายอมรับได้มั๊ย ถ้ายอมรับได้ เรามาดูความน่าสนใจของ Kristy ต่อกันเลย.


     หนังพูดเกี่ยวกับลัทธิคลั่งการฆ่าคน ถ่ายคลิปแล้วนำมาโพสต์ลงอินเตอร์เน็ต Kristy เป็นชื่อหญิงที่ติดตามพระเจ้าคือเป็นสัญลักษณ์ของคนดี ลัทธินี้จะตามหาคนดี ๆ แล้วทึกทักเรียกคนนั้นว่า Kristy !!! เท่านั้นหล่ะ การตามล่า ตามเชือดก็เกิดขึ้น.


     จุดดีของเรื่องนี้คือมันจะดูน่าติดตามตลอด หนังไม่ได้พยายามทำให้โทนหนังทึม หรือดูน่ากลัว แต่กลับดูแล้วรู้สึกถึงความชิลล์ของจัสติน พอเหตุการณ์เลวร้ายเริ่มต้นเท่านั้นหล่ะ หนังมันจะดูตื่นเต้นขึ้นมาเองตามลำดับเนื้อเรื่อง จัสตินก็ต้องหนีสุดชีวิต ตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอด ... แต่ พอถึงทางตันซึ่งมันก็เหมือนทำให้ใครสักคนจนตรอก ... จัสตินก็ต้องสู้ นี่สิถึงทำให้หนังน่าดู น่าติดตาม ว่าจะทำไงเพื่อที่จะเอาตัวรอดและสู้กับพวกนี้ได้.


     จัดว่าเป็นหนังที่พอคาดเดาได้ เดินตามสูตร ความตื่นเต้นระทึกมีตลอด การลำดับเรียบเรียงเนื้อเรื่องพอใช้ได้ไม่รู้สึกติดขัดอะไร ลื่นไหลพอควรเลย ความมันส์สะใจมี แต่รู้สึกว่าจะสั้นไปหน่อย หนังเรื่องนี้จะสุดยอดมากถ้าเพิ่มความยาวเเละเหตุการณ์ช่วงท้ายให้สะใจกว่านี้ พอหนังจบบอกได้เลยว่า อยากให้ต่ออีกสักครึ่งชั่วโมง ผมว่ามันแค่เริ่มต้นเอง ... สรุปสั้น ๆ ว่า ชอบ !!!