วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2557

2014 : ฝากไว้ในกายเธอ





     ฝากไว้ในกายเธอ หนังผีไทย Thriller ระทึกขวัญ น่าจะนิยามแนวหนังประมาณนี้ครับ เพื่อให้เราเข้าใจว่าหนังเรื่องนี้จะออกมาในโทนไหน เพราะบางครั้งการดูแค่เพียงตัวอย่างหนังก็อาจมองไม่เห็นภาพกว้าง ๆ ของหนังเรื่องนั้น ๆ ซึ่งมันขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์และความสามารถในการสื่อความหรือถ่ายทอดแนวหนังให้ผู้ชมได้รับรู้จากตัวอย่างหนังเพียงไม่กี่นาที แต่อย่างไรก็ตามผู้กำกับอาจตั้งใจสื่อให้หนังของตนเองเผยตัวตนออกมาแบบไม่ครบ เพราะอาจมีการเซอร์ไพรส์หรือหักมุม นั่นก็สุดแท้แต่เป้าประสงค์ของการนำเสนอ ... ออกนอกประเด็นซะงั้น กลับมาครับ กลับมาสู่เนื้อหาหนังดีกว่าครับ.

     เรื่องนี้กำกับโดย โสภณ ศักดาพิศิษฏ์ ซึ่งมีผลงานดังนี้


กำกับภาพยนตร์ 
โปรแกรมหน้า วิญญาณอาฆาต - ทำรายได้ 50 ล้านบาท
ลัดดาแลนด์ - ทำรายได้ 117 ล้านบาท
ฝากไว้..ในกายเธอ - 7 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เขียนบท
ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ (2004)
แฝด (2007)
สี่แพร่ง (2008)
โปรแกรมหน้า วิญญาณอาฆาต (2008)
ห้าแพร่ง (2009)
ลัดดาแลนด์ (2011)

     เนื้อเรื่องคร่าว ๆ คือ เพิร์ท [แสดงโดย มาร์ช] กับ แทน  [แสดงโดย ต่อ] เป็นเพื่อนกัน ทั้งคู่เป็นนักว่ายน้ำ แทนมีแฟนชื่อไอซ์ [แสดงโดย เก้า] ต่อมา เพิร์ท ลักลอบ คบและมีอะไรกับ ไอซ์ จนไอซ์ตั้งท้อง ... แทนรู้ข่าวว่า ไอซ์เสียชีวิตจากการโดดลงมาจากสปิงบอร์ด ลงมากระแทกพื้นสระน้ำ [ที่ตอนนั้นไม่มีน้ำ] ... แทนรู้ว่าไอซ์ตั้งท้อง จึงเดาว่าไอซ์ตายเนื่องมาจากการที่ตั้งท้องกับคนอื่น แทนแค้นและตามหาคนที่เป็นต้นเหตุให้ไอซ์ตาย.



     หนังเริ่มเรื่องมาก็นางเอกตายเลย อ้าว เล่นงี้เลยเหรอ อ่ะ ต้องติดตามต่อไปว่า จะดำเนินเรื่องยังไง 

     ด้านการตัดต่อที่มีการตัดเรื่องราวย้อนกลับไปเล่า เป็นช่วง ๆ ผมว่าทำได้ดี เข้าใจง่าย กระตุ้นให้คนดูคิดตามเรื่อย ๆ ให้เดาตามเรื่อย ๆ

    หนังมีการตัดย้อนกลับไปตอนแรก ๆ ที่ไอซ์รู้จักกับ เพิ์ทเป็นครั้งแรก จากนั้นหนังก็ตัดกลับมาปัจจุบัน มีการตัดกลับไปเป็นช่วง ๆ แต่ก็ไม่งงครับ เพราะเป็นการเล่าแบบไม่ซับซ้อนก็พอเข้าใจได้แบบง่าย ๆ ก็ถือเป็นลูกเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการเล่าเรื่องซึ่งเทคนิคนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ครับ เพราะหนังหลาย ๆ เรื่องก็ใช้วิธีการแบบนี้ บางเรื่องก็ดี บางเรื่องก็ไปไม่รอด ... ผมว่าเรื่องนี้ถือว่าใช้ได้ครับสำหรับวิธีเล่าเรื่องแบบนี้.

     เห็นในอินเตอร์เน็ตหลายคนบอกหนังไม่ดี ไม่สมกับที่เป็นผู้กำกับเรื่องลัดดาแลนด์ .... ตอนแรก ๆ อ่านดูก็เริ่มหวั่น ๆ ว่าหนังเรื่องนี้จะดีมั๊ย แต่ก็มีทั้งคนที่บอกว่าสนุกและมีทั้งที่บอกว่าไม่สนุก เหมือนจะครึ่ง ๆ เลยก็ว่าได้ ... พอได้ไปดูด้วยตัวเอง คาดหวังว่ามันคงไม่ห่วยมากก็พอ ปรากฏว่า เกินคาด คือความตกใจก็มีขนลุกหลายฉาก ย้ำว่าหลายฉาก 

    ที่มีคนโพสต์ใน pantip บอกว่าไม่สมเหตุสมผลทางการแพทย์ ผมว่าไร้สาระ ถ้าใครที่ไม่ได้เรียนหมอมา ไม่มีผลกระทบกับตัวหนังสักนิด แต่ถ้าเรียนมาแล้วพบว่ามันไม่สมเหตุผลผมว่ามันไม่ได้กระทบหัวใจหลักของหนัง แม้แต่นิ๊สสสสสสสเลย ... ก็ว่ากันไป ... ด้านบท เนื้อเรื่อง ความน่าเชื่อ การร้อยเรียงเรื่องราว ความลื่นไหลของบท ผมว่าดีใช้ได้เลย คือดีมาตรฐานเลย ไม่ใช่ดีแบบมาตรฐานไทยนะ ผมว่ามันดีกว่าหนังไทยห่วย ๆ แนวนี้ที่ไม่มีความพิถีพิถัน อีกหลายพันเรื่อง

     ด้านการแสดงของดารา ผมว่ามันก็ไม่ได้แย่ ถ้าเราดูฮอร์โมนแล้วอินตาม เเล้วจะบอกว่าดาราแสดงเรื่องนี้ไม่ดี ผมก็ว่าไม่ใช่แล้ว ... มีคนโพสต์ใน pantip บอกว่าไม่น่าเชื่อว่าเป็นผู้กำกับลัดดาแลนด์ ผมว่าผมเชื่อ เพราะเขากำกับให้หนังออกมามีชั้นเชิงในการเล่าเรื่องดีกว่าหนังห่วย ๆ มากมาย


     สำหรับคนที่บอกว่าตอนจบห่วย ผมบอกได้เลยว่าเป็นการใช้คำที่เป็นการ dis-credit หนังมากไป มันต้องบอกว่า จบแบบคาดเดายาก และออกจะเป็นสากลด้วย เพราะหนังต่างชาติมากมายก็จบแบบแนว ๆ นี้ และผมคิดว่ามันเยี่ยมกว่าจบอีกแบบ [อันนี้ก็เเล้วแต่คนจะชอบนะครับ เข้าใจครับ ผมว่าดี คุณอาจว่าไม่ก็ได้ครับ] คงต้องบอกว่าจบแบบที่คุณหลายคนไม่ถูกใจ [รึเปล่า ???] ... แต่ไม่ใช่ห่วยนะครับ ... สำหรับผมมันคือ "ยอดเยี่ยม" ต่างหาก ... ผมอาจพูดเกินจริงสำหรับบางท่าน ลองพิสูจน์ด้วยตัวเองดูครับ.











วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2557

2014 : LUCY [สวยพิฆาต]

Rotten Tomatos : http://www.rottentomatoes.com/m/lucy_2014/
Trailer : http://www.youtube.com/watch?v=6Vu081NOorA



     LUCY สวยพิฆาต เห็นตัวอย่างเเล้วอยากดูขึ้นมาทันที เรื่องนี้กำกับโดย Luc Besson ชาวฝรั่งเศษที่ชำนาญการกำกับหนังแนว Action มันส์ ๆ โหด ๆ ตัดต่อฉับไว หนังดังที่ Luc Besson กำกับ เช่น Nikita อันนี้คลาสสิค , Leon : The Professional [นักฆ่าลีออง] , The Fifth Eliment นี่ก็ใช้ได้.

     อดพูดไม่ได้ว่าเหตุผลหลัก ๆ ที่ทำให้อยากดูหนังเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เพียงพล็อตเรื่องที่น่าสนใจเท่านั้น แต่ดารานำครับ คือ Scarlett Johansson สวยมาก แถมยังแสดงหนังเก่ง และเลือกเล่นหนังได้ดีนะครับ ยกตัวอย่างหนังที่ Johansson แสดง เช่น The Island , The Prestige, The avengers , Under the Skin เรื่องนี้อาร์ทเกิน แต่ก็แปลกดี.

     ต้องบอกเลยว่า Johansson เอาอยู่สำหรับการแบกรับหนังทั้งเรื่อง เพราะเธอเด่นออกมามากมายจริง ๆ จนดาราที่แสดงสมทบแบนราบไปเลยทีเดียว ขนาดลุง Morgan Freeman ยังวูบ ๆ ลงไปเมื่อเจอความโดดเด่นของ Johansson ที่จริงมันเป็นเพราะบทเธอเด่นนำมากจริง ๆ ส่วนลุง Freeman ก็ทำได้เยี่ยมยอดอยู่แล้วครับ เพียงแค่ว่า บทลุงไม่ได้ชูให้เด่นมากมายครับ.

     ตอนที่ดู Trailer ตัวอย่างเรื่องนี้ บอกได้เลยครับ ว่าต้องเป็น Action Sci-Fi ผสมความโอเว่อร์ที่เกินไปมากจริง ๆ เหมือนจะเป็นพวกกลายพันธุ์แบบ The X-Men รึเปล่า งั้นก็เป็นไปได้ว่าจะนึกเปรียบเทียบไปถึง จีน เกรย์ จาก The X-Men หรือ Alice จาก Resident Evil เพราะพลังของ Lucy ก็ใช่ย่อย .... แต่ ...

     แต่ว่า มันไม่ใช่แค่นั้นสิครับ .... เปิดเรื่องมาหนังแสดงให้เห็นถึงเหตุการณ์ที่ Lucy ถูกแฟนคนปัจจุบันที่คบกันแค่เดือนเดียว หลอกให้ไปส่งกระเป๋าเอกสารใบนึงซึ่งเธอก็ไม่ได้อยากไปทำเลย เพราะมันดูแปลก ๆ พิกล แต่สุดท้ายก็ต้องจำใจ มีการตัดภาพไปเป็นภาพสัตว์ ที่เป็นเหยื่อบ้าง ผู้ล่าบ้าง เหมือนกำลังจะเปรียบเปรยบางอย่าง ซึ่งผมก็เริ่มรู้แนวแล้วล่ะครับว่านี่ไม่ใช่แค่ Action Sci-Fi แต่มันมีเรื่องของปรัชญาหรือเเนวคิดด้วยสิ ไม่ใช่มาผสมนะ ผมว่ามันเป็นแกนหลักของเรื่องทีเดียว ส่วน Action นั่นเป็นเพียงเครื่องมือเพื่อนำเสนอแนวความคิดต่างหาก.

     หนังพูดถึงการใช้สมองให้มากขึ้นจนหลุดขีดจำกัดที่มนุษย์ทั่วไปมี สารเสพติดตัวนึงถูกสร้างขึ้นมา โดยใครก็ไม่รู้หนังไม่ได้บอก แล้วมีพวกมาเฟียกลุ่มนึง ได้สารนี้มาไงก้ไม่รู้เช่นกัน จับยัดใส่ท้องคนกลุ่มนึง มีนางเอกรวมอยู่ด้วย การเลือกคนเหล่านั้นเลือกจากอะไรก็ไม่รู้ หนังไม่ได้บอกไว้ ผมว่านี่คือจุดอ่อนของหนัง คือไม่ค่อยมีที่มาที่ไปเท่าไร.

     ปกติมนุษย์ใช้สมองเพียง 10 % แล้วมีคนคิดทฤษฎีว่าถ้าใช้สมองมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น 20 % , 30 % , 40% ไปเรื่อย ๆ จะสามารถกระทำการเช่น ควบคุมสารภายในร่างกายได้ , ควบคุมมนุษย์คนอื่น ๆ ได้ หรือกระทั่งควบคุมสิ่งของต่าง ๆ ลองจินตนาการดูครับ ว่าถ้าใช้สมองครบ 100 % จะทำอะไรได้บ้าง นั่นหล่ะคือแกนของเรื่องครับ คือพยายามพาเราเดินทางไปดูว่าแต่ละครั้งที่สามารถเพิ่มการทำงานของสมองมากขึ้นจะทำอะไรได้บ้าง ความสนุกอยู่ตรงนี้แหล่ะครับ และท้ายที่สุดคุณจะต้องอึ้งไปกับปลายทางของการใช้สมองครบ 100 % .

     อดไม่ได้ที่จะนำไปเปรียบเทียบกับหนังเรื่อง Limitless ซึ่งเป็นคนละแนวกัน อันนั้นเขามีโจทย์แค่ยาตัวนึง กินเข้าไปจะทำให้สามารถใช้งานสมองได้ 100 % แต่มีฤทธิ์แค่วันเดียว ซึ่งมีผลกระทบตามมาคือสมองใช้งานหนักเกินไปจะเกิดผลข้างเคียง หนังเรื่องนี้ออกแนวจริงจังแบบไม่เกินจริงมาก ซึ่งทำให้ดูน่าเชื่อถือครับ.

     กลับมาที่ Lucy กันต่อครับ หนังมีความเป็น Action ในสัดส่วนที่มากพอสมควรทีเดียว แต่ผมว่ามันยังดู ไม่สุดทางของ Action ก็แน่ล่ะสิ เพราะมันไม่ใช่ Action เพียว ๆ นี่ครับ

     หนังมีส่วนของอารมณ์นางเอกที่ไม่ปะติดปะต่อเท่าไร นางเอกเป็นใครมาจากไหน สำคัญยังไงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ดูจบก็ยังคงไม่รู้ว่าหนังต้องการบอกอะไรเรา ... แค่เพียงสื่อให้เห็นแบบบางเบา ว่าเกี่ยวข้องกับเวลา ซึ่งตอบจบบอกได้เลยว่าเคลียร์ ชัดเจน ไม่มีงงครับ แต่แค่สงสัยว่าหนังต้องการจะบอกคนดูว่าอะไร ... นั่นเป็นสิ่งที่ผมคิดว่า ยังไม่ได้รับความหนักแน่นของจุดประสงค์ที่หนังจะบอก.

     แต่ว่าจุดอ่อนทั้งหลายที่กล่าวมาก็ไม่ได้แปลว่าหนังจะแย่หรือดูแล้วเบื่อนะครับ เพราะหนังดำเนินเรื่องได้เนียน ๆ อันนี้น่าจะเป็นผลมาจาก พล็อตเรื่อวน่าติดตาม , การดำเนินเรื่องของผู้กำกับมืออาชีพอย่าง Luc Besson นั้นค่อนข้างชัดเจนไม่เยิ่นเย้ออืดอาด, เสน่ห์ดึงดูดแบบ Super Star ที่น่าติดตามของดารานำอย่าง Scarlett Johansson เหล่านี้ทำให้ดูหนังเรื่องนี้ได้อย่างสนุกใช้ได้เลย ... ยกเว้นเรื่องจุดอ่อนของบทที่หลวมไปนิ๊สสสนึง คือพล็อตเรื่องดี แต่รายละเอียดไม่แน่นพอทำให้เหตุผลความน่าเชื่อถือลดลงไปเยอะ ... แต่ก็ดูได้อย่างไม่น่าเบื่อ เพียงแต่สิ่งที่ได้ติดสมองของเราไป มันจะไม่มากมายอะไร ... สรุปว่าดูเอาสนุก สาระมีครับ ปรัชญาดีครับ ความต่อเนื่องของเรื่องราวดีครับ แค่มันมาไม่สุดพีคเท่านั้นเอง.

     คุณล่ะ ใช้สมองกี่เปอร์เซ็นต์กัน !!!